คณะรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียให้ความเห็นชอบผ่อนคลายการลงทุนค้าปลีกต่างชาติ
คณะรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียมีมติให้ความเห็นชอบนโยบายผ่อนคลายสัดส่วนการถือหุ้นโดยบริษัทค้าปลีกต่างชาติในธุรกิจค้าปลีกของอินเดียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมา โดยอนุญาตให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติเพิ่มสัดส่วนในการถือหุ้นในธุรกิจค้าปลีกประเภทที่จำหน่ายสินค้ายี่ห้อเดียว (Single-Brand Retailers) จาก 51% เป็น 100% และสามารถถือหุ้นในธุรกิจค้าปลีกประเภทจำหน่ายสินค้าหลายยี่ห้อ (Multi-Brand Retailers) จากที่เคยไม่อนุญาตให้ถือหุ้นเลยเป็นอนุญาตให้ถือหุ้นได้ 51% โดยมีเงื่อนไขที่กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมอินเดียได้กำหนดไว้ตามที่ สคต. มุมไบได้เคยนำเสนอมาก่อนหน้านี้ คือ
1. ได้สงวนสิทธิไว้สาหรับรัฐบาลในการกาหนดให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติต้องรับซื้อและจัดจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตรจากเกษตรกรและสินค้าจากผู้ประกอบการขนาดเล็กของอินเดียตามลำดับ เพื่อเป็นการสนับสนุนเกษตรกรและผู้ประกอบการขนาดเล็ก
2. กำหนดให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติกันเงินลงทุนไว้อย่างน้อย 50% สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Back-End Infrastructure) ซึ่งหมายถึง การพัฒนาด้านการออกแบบ การควบคุมคุณภาพ และการพัฒนาหีบห่อสินค้า แต่ไม่รวมถึงค่าที่ดินและค่าเช่า ทั้งนี้ บริษัทค้าปลีกต่างชาติจะต้องทำการรับรองตนเองว่าได้ปฏิบัติตามระเบียบแล้ว (Self-Certification Basis)
3. กำหนดให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติแต่ละบริษัทต้องนาเงินลงทุนเข้าไป (FDI) อย่างน้อย 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. บริษัทค้าปลีกต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในอินเดียจะต้องอนุญาตให้ผลิตผลทางการเกษตรของเกษตรกรเข้าไปวางจาหน่ายในร้านค้าปลีกโดยไม่ต้องติดตรายี่ห้อ (Unbranded) ซึ่งรวมถึงปลา เนื้อสัตว์ และสัตว์ปีก
5. บริษัทค้าปลีกต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในอินเดียจะต้องทำการจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement) เป็นมูลค่าอย่างน้อย 30% จากผู้ประกอบการขนาดย่อมของอินเดีย (เงินลงทุนน้อยกว่า 250,000 เหรียญสหรัฐฯ)
6. ร้านค้าปลีกของบริษัทค้าปลีกต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้เปิดได้เฉพาะในเมืองที่มีประชากรเกิน 1 ล้านคนเท่านั้น (สามะโนประชากรปี 2011) ซึ่งจะมีอยู่ 42 เมือง ได้แก่ อักรา (Agra) นาสิก (Nashik)
ฟาริดาบัด (Faridabad) ดันบัด (Dhanbad) อินโดร์ (Indore) ไวสัก (Vizag) โกจิ (Kochi) ลุดิอานา (Ludhiana) ราชโกฏ (Rajkot) ฯลฯ ซึ่งมีประชากรรวมกันคิดเป็น 11.5% ของประชากรทั้งประเทศ (สามะโนประชากรปี 2001) ทั้งนี้ ไม่รวมเมืองขนาดใหญ่ 6 เมืองที่กาหนดไว้แต่เดิมว่าไม่อนุญาตให้เปิด คือ มุมไบ (Mumbai) เดลี (Delhi) เจนไน (Chennai) บังกาลอร์ (Bangalore) และกอลกัตตา (Kolkata) หรือให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละรัฐว่าจะอนุญาตให้เปิดหรือไม่
มีทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้าน
การผ่อนคลายระเบียบการลงทุนค้าปลีกจากต่างประเทศดังกล่าวเป็นประเด็นที่กล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางในประเทศอินเดีย เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ Landscape ด้านการค้าปลีกของอินเดียเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรค Trinamool Congress ได้ประกาศชัดเจนว่านโยบายหลักของพรรคจะมุ่งเน้นไปที่การต่อต้านการรุกเข้ามาของบริษัทค้าปลีกต่างชาติเพื่อเป็นการปกป้องธุรกิจค้าปลีกขนาดย่อมที่เรียกว่า Kirana ซึ่งมีอยู่จำนวนมหาศาล คิดเป็นสัดส่วนถึง 97.8% ของธุรกิจค้าปลีกประเภท Store Based Retailers ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ในภาคธุรกิจและภาคผู้บริโภคส่วนใหญ่จะสนับสนุนมาตรการผ่อนคลายในครั้งนี้ โดยส่งผลไปที่ราคาหุ้นของบริษัทค้าปลีกของอินเดียให้ดีดตัวสูงขึ้นทันที เช่น Pantaloon Retail (+12.3%), Vishal Retail (+10.5%), Shoppers Stop (+5.6%) และ Trent (+1.1%) ซึ่ง สคต. มุมไบได้สรุปข้อคิดเห็นของทั้งผู้สนับสนุนและผู้คัดค้านไว้ในตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1: ความคิดเห็นระหว่างฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน
ฝ่ายสนับสนุน |
ฝ่ายคัดค้าน |
1. จะมีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศอินเดียมากยิ่งขึ้น
2. ผู้บริโภคจะสามารถประหยัดเงินในการจับจ่ายใช้สอยได้ 5-10% ซึ่งเป็นผลมาจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจค้าปลีกในอินเดียและมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าได้มากขึ้นจากร้านค้าปลีกเพียงแห่งเดียว 3. ผู้บริโภคจะมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้นในราคาที่ถูกลง 4. จะมีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3-4 ล้านตาแหน่ง และอีก 4-6 ล้านตำแหน่งสาหรับงานที่เกี่ยวกับ Logistics งานด้านรักษาความปลอดภัย งานใช้แรงงาน ฯลฯ 5. เกษตรกรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 10-30% 6. การเข้ามาของธุรกิจค้าปลีกต่างชาติจะเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีและ Know-How ในการบริหารธุรกิจค้าปลีกแบบสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีการพัฒนาด้าน Logistics และการบริหารจัดการระบบขนส่งสินค้าแช่เย็นแช่แข็ง (Cold Chains) 7. รัฐบาลจะมีรายรับเพิ่มขึ้นอีก 25-30 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการเก็บภาษีประเภทต่างๆ 8. ธุรกิจค้าปลีกของอินเดียที่เป็นระบบ (Organized Retails) ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าเพียง 28.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จะเจริญเติบโตในอัตรา 21% ต่อปี ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 260 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2563 (ปี ค.ศ. 2020)
|
1. การรุกเข้ามาของบริษัทค้าปลีกต่างชาติจะทำให้ธุรกิจค้าปลีกรายย่อยของอินเดีย (Kirana) ซึ่งมีอยู่จำนวนมากต้องเลิกกิจการเพราะไม่สามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะร้านค้าปลีกรายย่อยที่อยู่ในพื้นที่ที่ธุรกิจค้าปลีกต่างชาติไปเปิดจำหน่ายสินค้า 2. การจ้างงานใหม่ก็จะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากจะเป็นแค่การย้ายงานจากธุรกิจค้าปลีกที่ไม่เป็นระบบ (Unorganized Retails) ไปอยู่ในธุรกิจที่เป็นระบบ (Organized Retails) เท่านั้น
3. เกษตรกรจะตกอยู่ในกำมือของธุรกิจต่างชาติ 4. จะมีการนาเข้าสินค้าราคาถูกเข้ามาจำหน่ายมากขึ้น เพราะบริษัทค้าปลีกต่างชาติจะจัดซื้อ/จัดหาสินค้าจากทั่วโลกเพื่อให้ได้ราคาถูกที่สุด
5. ระบบพ่อค้าคนกลางจะได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากบริษัทค้าปลีกต่างชาติจะเสาะหาและสั่งซื้อสินค้าเองโดยไม่จำเป็นต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
|
ร้านค้าปลีกท้องถิ่นขนาดย่อมของอินเดีย (Kirana)
บริษัทค้าปลีกต่างชาติพร้อมบุกอินเดีย
การผ่อนคลายระเบียบการลงทุนของบริษัทค้าปลีกต่างชาติครั้งนี้ของรัฐบาลอินเดีย ทให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติขนาดใหญ่ระดับโลกต่างมุ่งหน้าสู่อินเดียทั้งสิ้น หลังจากรอคอยวันนี้มาหลายปีแล้ว เนื่องจากตลาดอินเดียเป็นตลาดที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองรองจากจีน แม้ประชากรส่วนใหญ่ยังยากจน แต่ประชากรส่วนที่เป็นชนชั้นกลางและชั้นสูงที่มีกำลังซื้อสูงก็มีอยู่เป็นจานวนมากเช่นกัน โดยบริษัทค้าปลีกต่างชาติเหล่านี้ต่างมุ่งหวังที่จะแย่งส่วนแบ่งตลาดจากตลาดมูลค่า 28.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากธุรกิจค้าปลีกประเภทที่เป็นระบบ (Organized Retails) นี้ ซึ่งในปัจจุบันสัดส่วนของธุรกิจประเภทนี้จะจำหน่ายสินค้าประเภทเสื้อผ้า อิเลคทรอนิคส์ อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น เป็นส่วนใหญ่ (รายละเอียดตามตารางข้างล่าง)
ตารางที่ 2: แสดงสัดส่วนตลาดของธุรกิจค้าปลีกประเภท Organized Retails ในอินเดีย ปี 2554
สินค้า |
ยอดขาย (พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) |
สัดส่วน (%) |
เสื้อผ้า |
10.1 |
36 |
อิเลคทรอนิคส์ |
3.8 |
14 |
อาหาร & เครื่องดื่ม |
3.5 |
12 |
รองเท้า |
2.6 |
9 |
ร้านอาหาร |
2.2 |
8 |
นันทนาการ (Leisure) |
1.8 |
6 |
เฟอร์นิเจอร์ |
1.7 |
6 |
สินค้าจุกจิก |
1.5 |
5 |
ร้านขายยา |
0.7 |
2 |
เครื่องสาอาง/ของใช้ส่วนตัว |
0.2 |
1 |
รวม |
28.1 |
100 |
สำหรับบริษัทค้าปลีกต่างชาติขนาดใหญ่ที่ให้ความสนใจจะเข้าตลาดอินเดียโดยเข้าไปลงทุนในธุรกิจค้าปลีกประเภท Multi-Brand Retailers มีทั้งจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน ซึ่งบางรายก็ได้เข้าตลาดมาก่อนหน้านี้แล้ว อย่างเช่น Wal-Mart จากสหรัฐอเมริกาที่ได้เข้าตลาดอินเดียมาก่อนในลักษณะบริษัทค้าส่งประเภท Cash & Carry ซึ่งรัฐบาลอินเดียไม่มีข้อห้าม โดยร่วมทุนกับบริษัท Bharti Enterprise ในสัดส่วน 50:50 มาตั้งแต่ปี 2550 ทำให้ Wal-Mart อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบที่สุด เนื่องจากมีหุ้นส่วนและได้อยู่ในตลาดมาระยะหนึ่งแล้วด้วย และมีโครงการที่จะเข้าซื้อกิจการร้านค้าปลีก Easy Day ของบริษัท Bharti Enterprise ในเร็วๆ นี้ด้วย
ส่วนบริษัท Carrefour จากฝรั่งเศสก็ได้เข้าไปประกอบธุรกิจค้าส่งในอินเดียเมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา โดยร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท Future Group และมีโครงการจะขยายการร่วมทุนเป็นธุรกิจค้าปลีกประเภท Multi-Brand Retailer ต่อไป สาหรับบริษัท Tesco จากอังกฤษก็ได้เข้าไปประกอบธุรกิจค้าส่งในอินเดียตั้งแต่ปี 2551 โดยร่วมทุนกับบริษัท Trent ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Tata Group
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทต่างชาติจากเยอรมนีอีกหนึ่งบริษัทที่เข้าไปประกอบธุรกิจค้าส่งในอินเดียและถือเป็นบริษัทต่างชาติบริษัทแรกที่เข้าไปในตลาดค้าส่งของอินเดีย คือ บริษัท Metro AG โดยได้เข้าไปเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2546 แต่ยังไม่มีแผนที่จะขยายเป็นธุรกิจค้าปลีกแต่อย่างใด ส่วน Best Buy จากสหรัฐอเมริกาได้แสดงความสนใจที่จะเข้าไปร่วมลงทุนกับกลุ่มบริษัท Reliance Retail เพื่อเปิดธุรกิจค้าปลีกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคทรอนิคส์ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจา
ตารางที่ 3: บริษัทค้าปลีกต่างชาติประเภท Multi-Brand Retailers
ค้าปลีกรายใหญ่ Multi-Brand |
ประเทศ |
ยอดขาย (พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) |
จำนวนสาขา (Outlets) |
จำนวนประเทศ |
จำนวนพนักงาน (คน) |
Wal-Mart |
สหรัฐอเมริกา |
419.00 (’54) |
9,800 |
28 |
2,000,000 |
Carrefour |
ฝรั่งเศส |
120.73 (’53) |
9,500 |
32 |
471,000 |
Tesco |
อังกฤษ |
94.76 (’54) |
5,380 |
14 |
470,000 |
Metro AG |
เยอรมนี |
90.18 (’53) |
2,100 |
33 |
280,000 |
Target |
สหรัฐอเมริกา |
67.40 (’53) |
1,750 |
N.A. |
350,000 |
Auchan |
ฝรั่งเศส |
56.94 (’53) |
1,339 |
12 |
262,000 |
Best Buy |
สหรัฐอเมริกา |
50.30 (’54) |
1,100 |
N.A. |
180,000 |
Ahold |
เนเธอร์แลนด์ |
39.56 (’53) |
2,970 |
N.A. |
210,000 |
สำหรับในธุรกิจค้าปลีกประเภท Single-Brand Retailer ที่บริษัทค้าปลีกต่างชาติได้เข้าไปดำเนินธุรกิจอยู่แล้วในอินเดียตามระเบียบเดิมที่สามารถถือหุ้นได้สุงสุดไม่เกิน 51% ก็ให้ความสนใจที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจในอินเดียเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากตามระเบียบใหม่บริษัทค้าปลีกต่างชาติเหล่านี้สามารถถือหุ้นได้ถึง 100% ซึ่งทั้งหมดเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าประเภทเดียวกัน คือ เสื้อผ้าแฟชั่น ได้แก่ Zara, Tommy Hilfiger, Giorgio Armani, Mothercare, Versace และ Mark & Spencer โดยทุกรายก็มีหุ้นส่วนเป็นบริษัทอินเดียอยู่แล้ว แต่อาจจะมีการเจรจาเพื่อปรับสัดส่วนการถือหุ้น หรือแยกออกไปดำเนินธุรกิจเอง
ตารางที่ 4: บริษัทค้าปลีกต่างชาติประเภท Single-Brand Retailers ที่อยู่ในตลาดอินเดียอยู่แล้ว
Brand |
ประเทศ |
เจ้าของ Brand |
JV กับบริษัทอินเดีย |
Zara |
สเปน |
Inditex Group |
Trent (ร้านค้าปลีกของ Tata Group) |
Tommy Hilfiger |
สหรัฐอเมริกา |
Van Heusen Corp. |
Arvind Brand |
Giorgio Armani |
อิตาลี |
Giorgio Armani |
DFL (บริษัทพัฒนาที่ดิน) |
Mothercare |
อังกฤษ |
Mothercare |
DFL (สัดส่วน 30:70) |
Versace |
อิตาลี |
Versace |
Blue Clothing Company (ซื้อ License) |
Mark & Spencer |
อังกฤษ |
Mark & Spencer |
Reliance Retail (สัดส่วน 51:49) |
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทค้าปลีกต่างชาติประเภท Single-Brand Retailers ที่ยังไม่เคยเข้าตลาดอินเดียมาก่อนก็ได้แสดงความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนทันที หากแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการลงทุนของอินเดียชัดเจน ก็คาดว่าห้างจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน IKEA จากสวีเดนน่าจะเข้าไปตลาดอินเดียแน่นอน ตามด้วยบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าอย่าง H & M ของสวีเดน และ GAP ของสหรัฐอเมริกา
ตารางที่ 5: บริษัทค้าปลีกต่างชาติประเภท Single-Brand Retailers ที่สนใจจะเข้าตลาดอินเดีย
ค้าปลีกรายใหญ่ Single-Brand |
ประเทศ |
สินค้า |
ยอดขาย (พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) |
จานวนสาขา |
จานวนประเทศ |
IKEA |
สวีเดน |
เฟอร์นิเจอร์/ของแต่งบ้าน/เครื่องใช้ในบ้าน |
30.94 (’53) |
320 |
38 |
H & M |
สวีเดน |
เสื้อผ้าแฟชั่น |
18.40 (’53) |
2,300 |
41 |
GAP |
สหรัฐอเมริกา |
เสื้อผ้าแฟชั่น |
14.60 (’53) |
3,246 |
N.A. |
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจของอินเดียเองก็ตื่นตัวพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อธุรกิจค้าปลีกโดยรวมของอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบริษัทอินเดียที่ได้ Joint Venture กับบริษัทค้าปลีกต่างชาติระดับโลกอยู่แล้วอย่างบริษัท Bharti Retail ก็พร้อมจะขยายธุรกิจค้าปลีกกับบริษัท Wal-Mart ส่วนบริษัท Trent (Tata Group) ก็พร้อมที่จะ Joint Venture กับบริษัท Tesco ของอังกฤษ และกลุ่มบริษัท Future Group ก็มีความเป็นไปได้ที่จะ Joint Venture กับบริษัท Carrefour ของฝรั่งเศส ยกเว้น กลุ่มบริษัท Reliance Retail ที่มีแผนการชัดเจนว่าจะขยายกิจการค้าปลีกของตนเอง โดยไม่ร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกต่างชาติรายใดเลย
ตารางที่ 6: การตอบสนองต่อนโยบายผ่อนคลายระเบียบการลงทุนในธุรกิจค้าปลีกต่างชาติของบริษัทอินเดีย
บริษัทค้าปลีกอินเดีย |
สถานะและแผนในอนาคต |
Reliance Retail |
มีแผนที่จะขยายกิจการค้าปลีกของตนเองโดยไม่ร่วมทุนกับบริษัทค้าปลีกต่างชาติ (ปี 2553 ที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) |
Bharti Retail |
ปัจจุบันร่วมทุนอยู่กับ Wal-Mart (ธุรกิจค้าส่งรัฐบาลอนุญาตอยู่แล้ว) มีร้านค้าปลีก Easy Day จานวน 150 สาขาอยู่แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่า Wal-Mart จะร่วมทุนในธุรกิจค้าปลีกด้วย |
Trent (Tata Group) |
มีความเป็นไปได้ที่จะ Joint Venture กับ Tesco ของอังกฤษ |
Future Group |
มีความเป็นไปได้ที่จะ Joint Venture กับ Carrefour ของฝรั่งเศส เนื่องจากขณะนี้บริษัทต้องการเงิน |
Spencer’s Retail |
มีความเป็นไปได้ที่จะ Joint Venture กับบริษัทค้าปลีกต่างชาติรายใดรายหนึ่ง เนื่องจากปัจจุบันกาลังมองหาผู้ร่วมทุนอยู่แล้ว |
Aditya Birla Retail |
ปัจจุบันดาเนินกิจการไฮเปอร์มาร์เก็ตภายใต้ชื่อ “More Megastore” และซูเปอร์มาร์เก็ต “More” อยู่แล้ว มีความสนใจที่จะลงทุนร่วมกับบริษัทค้าปลีกต่างชาติ |
บทสรุปสำหรับประเทศไทย
1. การผ่อนคลายระเบียบการลงทุนค้าปลีกจากต่างประเทศของอินเดียมีแง่มุมที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะอย่างงยิ่ง รัฐบาลอินเดียได้มีนโยบายผ่อนคลายที่ยังมีข้อกำหนดต่างๆอย่างเป็นรูปธรรมผูกมัดไว้ด้วย ที่จะทาให้การผ่อนคลายระเบียบนี้ไม่ได้เสรีจนเกินไป และไม่ส่งผลกระทบให้ธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่นรายย่อย (Unorganized Retails) ที่เรียกว่า “Kirana” ซึ่งมีอยู่จำนวนมากมายมหาศาล ต้องเดือดร้อนจนอยู่ในธุรกิจไม่ได้
2. ตลาดอินเดียซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของโลกและเป็นตลาดที่มีศักยภาพได้ผ่อนคลายระเบียบในการเข้าตลาดแล้ว ทำให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติเริ่มทะยอยเข้าไปแสวงหาโอกาสกันอย่างถ้วนหน้าในทุกประเภทสินค้า ธุรกิจค้าปลีกของไทยจึงอาจจะต้องหันกลับไปมองตลาดอินเดียอีกครั้ง และเลือกประเภทธุรกิจค้าปลีกที่อาจจะมีโอกาสเข้าไปแข่งขันในตลาดได้เช่นกัน โดยเฉพาะ Single-Brand Retailers เช่น ร้านอาหาร เสื้อผ้าแฟชั่น โรงภาพยนตร์ครบวงจร ฯลฯ
------------------------------------------------------------------------
สานักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ
เรื่องใกล้เคียง
อินเดียขยับกฎค้าปลีก ต่างชาติเฮ แต่ภายในระอุ