สรุปข่าวเด่นรายสัปดาห์: 1 - 7 กรกฎาคม 2560 (อินเดีย)
1. Mumbai's Zaveri Bazaar ร้างเหตุเพราะพิษ GST
GST scare leaves Mumbai's Zaveri Bazaar deserted
Source: The Economic Times
การประกาศบังคับใช้กฎหมายการเก็บภาษีสินค้าและบริการ หรือ GST อย่างเป็นทางการเกิดขึ้น ณ เวลา 15.00 น ของวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 สถานที่แห่งหนึ่ง ณ นครมุมไบที่เคยเป็นที่คึกคักที่สุดที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายกลับเงียบเหงาไร้ผู้คนก็คงหนีไม่พ้น ถนน Dagina Bazaar ใจกลาง Zaveri Bazaar ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนจากคำบอกเล่าจากผู้ประกอบการร้านขายเครื่องเพชรกว่า 60 ร้านที่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เปิดร้านมากว่า 4 ชม. แล้วยังไม่มีลูกค้าซักคนเลย จะมีมาบ้างก็เพียงแค่การสอบถามและการต้องการซื้อสินค้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่กระนั้นเราจะต้องรอถึงร้านปิดเลย ประมาณ 20.00 น. ได้ทั้งนี้ความต้องการเพชรลดลงมากเหตุเป็นผลมาจากภาษี GST อย่างเห็นได้ชัด”
Anil Jain เจ้าของบริษัท R. Pukhraj & Co ผู้ค้าส่งเครื่องประดับที่ Zaveri Bazaar กล่าวว่า “ธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว เนื่องจากผู้คนไม่ค่อยมีความแน่ใจต่อผลกระทบจาก GST ที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกเขา ประกอบช่วงนี้ไม่ได้เป็นช่วงเทศกาลแห่งการซื้อเครื่องประดับอีกด้วย” ทั้งนี้ Anil Jain ยังคาดการณ์อีกว่า “ผู้ค้าเครื่องประดับต่างๆต่างลดการสต๊อกสินค้าลงเนื่องจากพวกเขากำลังรอความชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการบังคับใช้ภาษีใหม่อย่าง GST ทั้งนี้ความต้องการทองคำจะลดลงในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า แต่จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในเทศกาล Raksha Bandhan และ Navratri“
Jewellers Opine กล่าวว่า “ขณะเดียวกันภายหลังการบังคับใช้GST ไม่กี่ชั่วโมง ท่องรูปพรรณและทองคำแท่งได้ดีดตัวขึ้นไปที่ 28,400 รูปีต่อสิบกรัมในตลาดมุมไบ ทั้งนี้ภาษีดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำมากนัก แต่มันกลับไปเพิ่มความต้องการโลหะสีเหลืองให้มีราคาสูงขึ้นด้วยภาษี GST ที่เรียกเก็บจากทองคำจาก 1% ไปเป็น 3% ซึ่งไม่รวมกับค่ากำเหน็จและค่าบล็อคที่อยู่ภายใต้ภาษีดังกล่าวอีกด้วย และสุดท้ายมันจะเป็นการผลักภาระค่าใช้จ่ายไปสู้ผู้บริโภค“
Inder Jain ประธานสมาคม Shri Mumbadevi Dagina Bazaar อธิบายว่า “ถ้าคุณซื้อทองคำ 10 กรัมในวันเสาร์ที่ผ่านมา คุณต้องจ่ายเงินทั้งหมด 29,350 รูปีแต่เงินจำนวน 500 รูปีที่คุณจ่ายไปนั้นจะถูกจัดเก็บให้อยู่ในรูปของภาษีGST ดังนั้น ถ้าคุณซื้อทองคำถึง 50 กรัมคุณจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 2,500 รูปีเพื่อสังเวยให้กับ GST” Inder Jain เชื่อว่า “ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อความต้องการเครื่องประดับที่ใช้ทองร่วมอยู่ด้วย พวกเขายังคงจะซื้ออยู่ไม่ว่าราคาจะเท่าไหร่หรือภาษีจะแพงแค่ไหนก็ตาม”
อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ของโลก ถึงแม้ว่ายอดการสั่งซื้อทองคำจากอินเดียเมื่อปีก่อนจะลดต่ำลงถึง 21% ก็ตาม แต่อินเดียก็ยังมีความต้องการซื้อทองคำอยู่ถึง 675.5 ตันในปี 2016 ซึ่งการลดลงดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความอิ่มตัวของความต้องการทองคำแต่เกิดจากการประกาศที่จะยกเลิกการใช้ธนบัตรลง ทั้งนี้ในปี 2015 อินเดียซื้อทองรวมกันแล้วทั้งสิ้น 857 ตัน ทั้งนี้ T. Gnanasekar ผู้อำนวยการ CommTrendz Research กล่าวว่า “ความต้องการทองคำจะกลับสู่สภาวะปกติเมื่อถึงช่วงเทศกาลแต่งงาน ณ สิ้นปีนี้” นอกเหนือจากความต้องการทองคำเป็นธรรมดาแล้ว จะเห็นได้ว่าอินเดียเริ่มซื้อทองคำเข้ามาเก็บเพิ่มขึ้นในฐานะ Safe Heaven เพื่อกระจายความเสี่ยงจากความกังวลเกี่ยวกับตลาดหุ้นในอนาคต
Anil Jain of R. Pukhraj & Co กล่าวว่า “ราคาทองคำจะไม่เพิ่มสูงขึ้นเหมือนกับราคาหุ้นแต่อย่างใดเนื่องจากอัตราผลตอบแทนคงไม่สูงมากนักเมื่อเจอ GST ตั้ง 3%” ทั้งนี้ผู้ค้าอัญมณีย่าน Zaveri Bazaar คาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะร่วงลงไปที่ระดับ 27500 รูปีต่อสิบกรัมในระยะเวลาอันใกล้นี้โดยไม่มีใครคาดคิดถึงว่าในเดือนกันยายนจะได้เห็นการล่มสลายของ Navratri
Source: The Economic Times. July 3, 2017
2. ร้านค้าออนไลน์สต๊อกสินค้าเพิ่มหวั่นผลกระทบ GST!!!
E-commerce players stock up to counter GST impact
Source: The Hindu: Business Line
ร้านค้าปลีกออนไลน์มีการเก็บสำรองสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลนอุปทานที่จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการประกาศใช้กฎหมายปฎิรูประบบภาษีสินค้าและบริการครั้งใหญ่ ทั้งนี้ร้านค้าออนไลน์รายใหญ่อย่าง Amazon, Flipkart และ Myntra ต่างมีการทำงานกันอย่างใกล้ชิดกับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเพื่อให้แน่ใจว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะปฎิบัติตาม
Albinder Dhindsa ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Grofers กล่าวกับ BusinessLine ว่า “เราร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้าในหลายๆแบรนด์ด้วยกันในการสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้นเกือบทั้งหมดของผู้ผลิตสินค้าให้เราซึ่งคิดเป็น 93% ของยอดขายโดยรวมของเราทั้งหมด มีความพร้อมในการรับมือกับผลกระทบอันเกิดจากภาษีGST แล้ว แม้อาจจะมีเหตุขัดข้องเล็กน้อย แต่การลงทุนในการสร้างระบบการจัดการภายในของเรา ทำให้เรารู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้นเนื่องจากระบบดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย เราหวังว่ามันอาจจะมีผลกระทบกับร้านค้าในรูปแบบเดิมขณะที่การค้าออนไลน์ดูดหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ”
Amazon อินเดียได้เปิดตัว 'A-Z GST Guide' โปรแกรมที่จะช่วยฝึกอบรมและทำให้ผู้ขายสามารถเตรียมตัวพร้อมรับกับภาษีGST ที่จะเกิดขึ้นผ่านการเรียนการสอน ผ่านเว็บไซต์การฝึกอบรมออนไลน์ฟรีและได้รับการแนะนำอย่างมืออาชีพผ่านผู้ให้บริการรายอื่นๆอีกด้วย
Source: Amazon India
โฆษก Amazon อินเดียกล่าวว่า “นอกจากนี้เรายังได้ก่อตั้ง GST Cafe เพื่อมาทำการให้คำปรึกษาแก่ผู้ขายสินค้าให้มีความเข้าใจภาษีGST ตลอดจนให้ความเข้าใจถึงผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เราได้ตั้ง GST Cafe ถึง 16 สาขาซึ่งครอบคลุมทั้ง 11 เมืองของอินเดีย”
Source: The Hindu Business Line. Jun 30, 2017
3. ทาทามอเตอร์สลดราคารถยนต์โดยสารลงถึง 2.17 แสนรูปี
Tata Motors cuts passenger vehicle prices by up to Rs. 2.17 lakh
Source: The Hindu Business Line
บริษัท ทาทามอเตอร์ส (Automaker Tata Motors) ประกาศการลดราคารถยนต์โดยสารกว่า 2.17 แสนรูปี เพื่อมอบผลประโยชน์ GST แก่ลูกค้า "ภายหลังการดำเนินการจัดเก็บภาษีในรูปแบบ GST เราได้ตัดสินใจที่จะมอบผลประโยชน์ทั้งหมดให้กับลูกค้าของเรา เราได้ลดราคารถยนต์โดยสารถึง 12 เปอร์เซ็นต์ กล่าวคือตั้งแต่ 3,300 รูปี จนถึง 217,000 รูปี ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบและความแตกต่างของรถยนต์” Mayank Pareek ประทานฝ่ายธุรกิจรถยนต์โดยสาร บริษัททาทามอเตอร์ส กล่าวในการแถลง
บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในความคิดริเริ่มของรัฐบาลเกี่ยวกับการแนะนำสหภาพสำหรับการแนะนำ GST และการนำระบบจัดเก็บภาษีที่เหมือนกันทั่วประเทศ “นี่จะช่วยเพิ่มความสะดวกในการทำธุรกิจยุคใหม่ทั้ง สำหรับเศรษฐกิจทั่วไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์” Pareek กล่าว
Source: BUSINESS LINE. JUL 05, 2017
4. ผู้ค้าสินค้าออนไลน์กำลังออกนโยบายลดราคาสินค้าเพื่อต้อนรับภาษีสินค้าและบริการ
E-commerce players offer 'GST bonanza discount'
นิวเดลี: อินเดียได้มีการปรับปรุงระบบภาษีสินค้าและบริการขึ้นมาใหม่ ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ ราคาของสินค้ามีการปรับตัวหลายรายการ ตัวแสดงอย่างผู้ค้าสินค้าออนไลน์จึงได้รับผลประโยชน์จาก การปรับปรุงภาษีดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เกิดการแบ่งปันผลกำไรที่เกิดขึ้นให้คืนสู่สังคมผู้ค้าสินค้าออนไลน์จึงมีดารออกแคมเปญ ลดราคาสินค้าบางประการเพื่อเป็นการตอบแทนผู้บริโภค ดังที่ Vishwas Shringi ผู้ก่อตั้งบริษัท Voylla Fashions กล่าวว่า การที่ระบบภาษีมีความมั่นคงและถาวร มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถคำนวณต้นทุนที่แท้จริงได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ทรายได้ว่ากำไรของบริษัทจะมีมากน้อยเพียงใด และหากมีส่วนต่างที่มากขึ้น ก็ เป็นเรื่องที่บริษัทจะต้องตอบแทนคืนผู้บริโภค
Source: VC Circle
ทั้งนี้เขายังได้กล่าวเพิ่มเติมว่าร้านค้าเครื่องประดับ ออนไลน์ของบริษัทนี้ ที่มีสาขากว่า 100 แห่งทั่ว ประเทศอินเดีย ก าลังเริ่มเสนอการลดราคาสินค้า ขนาดใหญ่ อันเป็นผลมาจากการปรับภาษีสินค้าและ บริการ นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา เขายืนยันว่าการกระท าดังกล่าวไม่ใช้การลดราคา สินค้าเพื่อล้างสต๊อกที่มีอยู่ แต่เป็นสิ่งที่บริษัท ต้องการตอบแทนลูกค้า และแสดงให้เห็นถึง ผลประโยชน์ที่ได้รับจากระบบภาษีใหม่
ในขณะเดียวกัน Suchi Mukherjee ผู้บริหารของ LimeRoad ซึ่งเป็นผู้ค้าออนไลน์สินค้าแฟชั่น กล่าวว่า การที่เกิดระบบภาษีใหม่ทำให้การคำนวณระบบภาษีสะดวกขึ้น ในขณะเดียวกันยังทำให้ กระบวนการผลิตลดต้นทุนลงมา การกำหนดราคาสินค้าจึงสะท้อนความเป็นจริง และมีราคาที่ลดลงจนสามารถแข่งขันได้ ผลประโยชน์เหล่านี้จะถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งนี้ระบบภาษีใหม่ของอินเดียจะส่งผลในเชิงลบบางประการในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่าน แต่นัก ลงทุนจำนวนมากเชื่อว่าจะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เนื่องมาจากระบบภาษีสินค้าและบริการยังคงไม่ครอบคลุม ทุกสินค้า ที่มีการผลิตในประเทศอินเดีย การปรับปรุงราคาสินค้าจึงยังต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัว เพื่อให้การคิดคำนวณแบบผสมมีความลงตัวมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวหลายฝ่ายมองว่าสินค้าที่อยู่ภายใต้ ระบบภาษีใหม่นี้มีแนวโน้มที่จะมีราคาที่ลดลงจากข้อกำหนดเกี่ยวกับการทุ่มตลาด ที่ระบุว่า หากผู้ผลิต หรือผู้ขายมีรายได้หรือกำไรเกินจากที่เป็นอยู่จำนวนมาก ผู้ผลิตจำเป็นต้องส่งมอบผลกำไรดังกล่าวคืนให้แก่ผู้บริโภคด้วย ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าระบบภาษีสินค้าและบริการตัวใหม่ของอินเดียสร้างผลประโยชน์ ให้กับผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายไม่ต้องปวดหัวกับระบบ ภาษีซ้อน ช่วยให้ต้นทุนทางการผลิตลดลงอีกด้วย
บทวิเคราะห์: จากข้อมูลข่าวดังกล่าวจะเห็นได้ว่าผลของนโยบายภาษีสินค้าและบริการตัวใหม่ ของอินเดียกำลังส่งผลในทิศทางบวกที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น จากการคำนวณราคาต้นทุนทางการผลิตที่สะดวก มากยิ่งขึ้น ผนวกกับต้นทุนที่ลดลงส่งผลให้ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้ถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภคผ่านมาตรการลด ราคาสินค้า จึงคาดการได้ว่าการจับจ่ายใช้สอยของคนอินเดียในเดือนนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ข้อเสนอแนะ: การปรับระบบภาษีสินค้าและบริการของประเทศอินเดียดังกล่าว ถือว่าเป็น สัญญาณบวกกับนักลงทุนอย่างมาก เพราะทำให้การทำความเข้าใจระบบภาษีง่ายยิ่งขึ้น หากนักลงทุนของประเทศไทย ที่สนใจเข้ามาเปิดตลาดในอินเดีย หรือสร้างฐานการผลิตในอินเดีย ก็ถือได้ว่าระบบภาษีในประเทศนี้จะไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไปแล้ว
Source: THE ECONOMIC TIMES. 01 July, 2017
5. GST ช่วยจัดการความยุ่งเหยิงของใบเสร็จค่าอาหาร แต่ผู้ประกอบการร้านอาหารยังคงกังขา
GST clears clutter of food bills but restaurateurs still skeptical
Zoravar Kalra เจ้าของกิจการร้านอาหาร รู้สึกยินดีที่ได้เห็นผู้บริโภคถ่ายภาพใบเสร็จค่าอาหาร มากกว่าถ่ายภาพอาหาร Zoravar Kalra ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้จัดการร้านอาหารชื่อดังหลายแห่ง เช่น Farzi Café, Masala Library และ Kode กล่าวว่า มีความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของใบเสร็จ ค่าอาหารหลังจากการบังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการ (GST) ที่ทำให้ใบเสร็จมีความโล่งมากขึ้น เนื่องจากไม่ มีการระบุภาษีที่แยกย่อยต่างๆ
Source: Oberoi Indian Food
เขากล่าวว่า “การรับประทานอาหารนอกบ้านเคยเป็นปัญหา เนื่องจากผู้บริโภคไม่สามารถคำนวณราคาค่าอาหารที่แน่นอนได้ เพราะก่อนหน้านี้ต้องมีการเก็บภาษีแยกย่อยมากมาย ไม่ว่าจะเป็น VAT, service tax, Swachh Bharat Cess และ Krishi Kalyan Cess แต่ในปัจจุบันผู้บริโภคต้องจ่ายภาษีค่าอาหารที่อัตราร้อยละ 18 ซึ่งทำให้การวางแผนในการรับประทานอาหารเป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น” เขายังกล่าวอีกว่า แม้ว่าผู้บริโภคจะต้องจ่ายอัตราภาษีที่น้อยกว่าเดิมแค่ร้อยละ 1 เพราะก่อนหน้านี้ต้องจ่ายภาษีที่อัตราร้อยละ 19 แต่ความชัดเจนในอัตราภาษีปัจจุบันจะช่วยส่งเสริมให้ผู้บริโภคออกมารับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น
แม้เจ้าของกิจการร้านอาหารคิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบของภาษีสินค้าและบริการ ว่ามีอิทธิพลต่อการรับประทานอาหารนอกบ้านมากน้อยแค่ไหน แต่อัตราภาษีที่ไม่ซับซ้อนเป็นสิ่งที่พวก เขาพร้อมน้อมรับ Riyaaz Amlani ประธาน National Restaurant Association of India (NRAI) และ หัวหน้า Impressario Entertainment and Hospitality ที่ประกอบธุรกิจร้าน Social, Smoke House และร้าน Slink & Bardot ที่มีอยู่ทั่วประเทศอินเดีย กล่าวว่า เขาน้อมรับภาษีสินค้าและบริการ เพราะถือว่าเป็น “การปฏิรูปที่มีความตั้งใจดีและเป็นความสำเร็จที่สำคัญของรัฐบาล”
อย่างไรก็ตาม เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ไม่ได้อยู่ภายใต้ภาษีสินค้าและบริการทำให้ผู้บริโภคจะได้รับใบเสร็จสองใบ กล่าวคือ ใบเสร็จสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มี VAT ร้อยละ 20 หนึ่งใบ และใบเสร็จ ของร้านอาหารอีกหนึ่งใบในอัตราภาษีร้อยละ 18 การรับประทานอาหารนอกบ้านตามร้านอาหารระดับห้าดาวก็มีราคาที่ถูกลง เนื่องจาก ร้านอาหารบางร้านเคยต้องจ่ายภาษีที่อัตราร้อยละ 20 ซึ่งเป็นอัตราที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ ในขณะที่ ปัจจุบันอัตราภาษีถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนที่ร้อยละ 18 ทั่วประเทศ
Nidhi Verma จาก Leela Ambience Gurugram กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้กันว่าการ รับประทานอาหารในโรงแรมระดับห้าดาวเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยและมีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเปรียบเทียบกับ ร้านอาหารอื่นๆ แต่เมื่อมีการบังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการ การรับประทานอาหารตามโรงแรมและ ร้านอาหารมีราคาที่ใกล้เคียงมากขึ้น
Source: Leela Ambience
อย่างไรก็ตาม ร้านอาหารมากมายยังคงพยายามมองหาผลกระทบของภาษีสินค้าและบริการต่อ ธุรกิจร้านอาหาร ผู้ประกอบการบางคนยังไม่มีความมั่นใจถึงประเด็นการคืนภาษีที่ก่อนหน้านี้พวกเขา ได้รับจาก service tax ในขณะที่ผู้ประกอบการบางส่วนกำลังวางแผนการซื้อวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำอาหารเพราะวัตถุดิบบางอย่างก็มีอัตราภาษีที่ถูกลง ในขณะที่วัตถุดิบบางชนิดก็มีอัตราที่แพงขึ้น
Amlani จาก NRAI หวังว่าจะมีการลดอัตราภาษีสำหรับการรับประทานอาหารนอกบ้าน “เราอยากอยู่ในกลุ่มอัตราภาษีที่ต่ำเราหวังว่ารัฐบาลจะลดอัตราภาษีในอุตสาหกรรมร้านอาหาร การรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นส่วนหนึ่งของภาพลักษณ์ของ Incredible India ซึ่งการลดอัตราภาษีจะ ช่วยทำให้อินเดียสร้างผลกำไรมากมายจากการเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ”
บทวิเคราะห์: รายงานข่าวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการลงทุนในธุรกิจร้านอาหารหลังจาก ที่ภาษีสินค้าและบริการถูกประกาศใช้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่นักลงทุนไทยที่สนใจทำธุรกิจดังกล่าวใน อินเดียจะเข้ามาลงทุนในอินเดีย เพราะภาษีสินค้าและบริการจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้ชาวอินเดียออกมารับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้นและทำให้ธุรกิจร้านอาหารเติบโตมากขึ้นเช่นเดียวกัน
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jul 02, 2017
6. ยอดขายของ Tata Steel เติบโตขึ้นร้อยละ 28 ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณนี้
Tata Steel's sales grow 28% in the first quarter of this fiscal
กัลกัตตา: บริษัท Tata Steel มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณปัจจุบัน ทั้งนี้ปัจจุบันสามารถผลิตสินค้าเพื่อจัดจำหน่ายเป็นปริมาณกว่า 2.75 ล้านตัน ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับสูง ที่มีการผลิตที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 16 ส่งผลให้ปริมาณความต้องการเหล็กเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว Tata Steel จึงสร้างฐานการผลิตแห่งใหม่ใน เมือง Kalinganagar รัฐ Odisha
Source: The Economic Times
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา บริษัท Tata Steel ขายเหล็กในช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้เป็นจำนวน 2.15 ล้านตัน นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 ในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง และเล็กในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ 2018 นี้อีกด้วย ทั้งนี้โดยมีสาเหตุหลักจากการขาย ผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนได้เป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้น
อีกหนึ่งความหน้าสนใจสำคัญสำหรับกลุ่มธุรกิจในเครือ Tata คือในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณนี้ มีการเพิ่มขึ้นของปริมาณการส่งออก คิดเป็นกว่า 17 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีงบประมาณที่แล้ว นอกจากนี้ บริษัทยังได้เปิดตัว Tata Steel Sampoorna ซึ่งเป็นร้านค้าปลีก แห่งแรกของประเทศอินเดีย โดยมีการรวบรวมแบรนด์ค้าปลีกทั้งหมดมาอยู่ ภายในร้านค้าและพร้อมให้บริการแก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท สำหรับในส่วนของประสิทธิภาพ และประสิทธิผลทางการผลิตสินค้า Tata Steel รายงานยอดการผลิตโลหะร้อนอยู่ที่ประมาณ 3.41 ล้านตันในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2018 ซึ่งมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นกว่า 3.01 ล้านตันจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณที่แล้ว ในขณะที่การผลิตเหล็กดิบในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 2.94 ล้านตันเทียบ ในขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วสามารถผลิตได้เพียง 2.51 ล้านตัน
สำหรับในส่วนของยอดขายเหล็กของบริษัทนั้นในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2018 บริษัทสามารถขายสินค้าได้สูงถึง 2.95 ล้านตัน แตกต่างจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณที่แล้ว ที่สามารถจัดจำหน่ายได้เพียง 2.34 ล้านตันเท่านั้น ในขณะที่โรงงานการผลิตเหล็กของบริษัท ที่ Jamshedpur สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้มากยิ่งขึ้นจากที่อดีตเคยทำสถิติไว้ที่ 2.67 ล้านตันในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2018 แต่สำหรับในปีงบประมาณนี้พบว่ามีอัตราการผลิตพุ่งสูงถึง 2.73 ล้านตัน ซึ่งทิศ ทางการเติบโตนี้เกิดขึ้นกับโรงงานผลิตพลาสติกของบริษัทเช่นเดียวกัน
บทวิเคราะห์: จากข้อมูลข่าวดังกล่าวจะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศอินเดียกำลังมี การขยายตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้นจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ และอาจกลายเป็นคู่แข่งสำคัญของประเทศส่งออกรถยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในทางตรงกันข้ามกันยังถือเป็น โอกาสของไทยในการนำเข้าเหล็กจากอินเดียด้วย
ข้อเสนอแนะ: การเพิ่มขึ้นของการส่งออกเหล็กกล้า และการใช้เหล็กในอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการบริโภคของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปประชากรอินเดียมีกำลังซื้อรถยนต์มากขึ้น จึงถือเป็นโอกาสของธุรกิจไทยที่ต้องการเจาะกลุ่มชนชั้นกลางอินเดีย
Source: THE ECONOMIC TIMES. 03 July, 2017
7. ภาคเภสัชกรรมของอินเดียจะมีการเติบโตที่ลดลงในอีกสามปีข้างหน้า
Indian pharma sector growth to moderate in next 3 years: ICRA
นิวเดลี: ICRA ระบุว่า อุตสาหกรรมด้านเภสัชกรรมของอินเดียมีแนวโน้มว่าจะมีการเติบโตที่ลดลงในอีกสามปีข้างหน้า เนื่องจากการลดลงของรายได้จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด และ การแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบัน ผู้ประกอบการชั้นนำในอุตสาหกรรมดังกล่าวมีการเติบโตของรายได้รวมกันแล้วเพียงร้อย ละ 7.4 ในปีงบประมาณ 2017 ในขณะที่ปี 2016 มีการเติบโตมากกว่าร้อยละ 10.1
ICRA กล่าวว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมเภสัชกรรมของอินเดียมีแนวโน้มลดลงจากความถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความเข้มข้นของการแข็งขันที่ทำให้ราคาของสินค้าลดลง และความเข้มงวดของกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มาจากผลของการใช้ยา ICRA กล่าวว่า ในช่วงปีงบประมาณ 2018 จนถึง 2020 อุตสาหกรรมดังกล่าวจะมีการเติบโตที่ ร้อยละ 7-10 หลังจากที่มีการเติบโตในเลขสองหลักในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ICRA ยังได้แสดงความเห็นถึงสถานการณ์ของอุตสาหกรรมดังกล่าว โดย Gaurav Jain รอง ประธาน กล่าวว่า “มีแนวโน้มว่าการเติบโตจะถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ความท้าทายในโอกาสด้าน การจดสิทธิบัตรและการกดดันด้านราคาสินค้า”
Source: Rediff
Jain กล่าวว่า รายได้ของสหรัฐฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2012-2017 มีตัววัดการเติบโตทาง เศรษฐกิจที่ร้อยละ 19.3 อย่างไรก็ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2016 ที่ร้อยละ 14.4 ได้ลดลงเหลือร้อยละ 4 ในปีงบประมาณ 2017 ตลอดจนในไตรมาสที่สี่ของปีงบประมาณ 2017 มี แนวโน้มที่จะได้เห็นแง่ลบของเศรษฐกิจต่อไป “นอกจากนี้ ความเข้มงวดด้านกฎเกณฑ์ของบังคับและการรวมห่วงโซ่การผลิตในตลาดสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อการกดราคา ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของการวิจัยและพัฒนาจะส่งผลในแง่ลบต่อบริษัทด้านเภสัช กรรมของอินเดีย”
ในส่วนของเวชสำอาง ICRA กล่าวว่า การแทรกแซงในด้านกฎเกณฑ์ข้อบังคับจะกดดันการเติบโตในระยะใกล้นี้ แม้ในระยะยาวการเติบโตจะดูสดใสจากการเพิ่มขึ้นในช่องทางการเข้าถึงสินค้าและการมีผู้ผลิตใหม่ๆ มากขึ้น แม้ว่าความท้าทายดังกล่าวจะมีอย่างต่อเนื่อง บริษัทด้านเภสัชกรรมของอินเดียหลายแห่งยังมีการลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาด้านเภสัชกรรมเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ มีการคาดหมายว่าความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ผลิตด้านเภสัชกรรมของอินเดียยังคงเป็นไป อย่างต่อเนื่องจากการที่การเติบโตที่มั่นคงในตลาดทางการ
บทวิเคราะห์: เป็นที่รู้กันว่าภาคเภสัชกรรมของอินเดียมีความก้าวหน้า และมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดระดับโลกสูง จากการที่สามารถผลิตและขายสินค้าด้านเภสัชกรรมในราคาต่ำ อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาเศรษฐกิจโลก (โดยเฉพาะสหรัฐฯ) ของภาคธุรกิจด้านเภสัชกรรมของอินเดียก็ต้องประสบ ผลกระทบจากการผลพวงของเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาลงเช่นกัน
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jul 03, 2017
8. Dabur ใช้ประโยชน์จากการปฏิวัติดิจิทัลเพื่อดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่
Dabur bets big on digital revolution; to target young consumers
Source: The Economic Times
บริษัทสินค้าอุปโภค-บริโภคสัญชาติอินเดียรายใหญ่อย่าง Dabur กำลังมองหาการใช้ประโยชน์ จาก “การปฏิวัติดิจิทัล” โดยใช้ยุทธศาสตร์ทางการพาณิชย์ออนไลน์และการตลาดยุคดิจิทัล เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ในอนาคต นอกจากนี้ บริษัท the Burman ก็กำลังมองหาแนวทางในการดึงดูดผู้บริโภครุ่นใหม่ซึ่งให้ความสนใจกับรากเหง้าและความภาคภูมิใจในประเพณีดั้งเดิม โดยเฉพาะในสินค้าด้านอายุรเวช
Anand C Burman ผู้บริหารของ Dabur กล่าวว่า “แนวโน้มหนึ่งที่สำคัญในปัจจุบันคือการปฏิวัติดิจิทัล โดยแนวโน้มดังกล่าวจะส่งผลกระทบ อย่างสำคัญต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคและ โครงสร้างของตลาดในอนาคต” เขายังกล่าวว่า อินเตอร์เนทจะเป็นช่องทางสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อการ ตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ตลอดจนเป็นช่องทางใน การทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์อีกด้วย “การยอมรับปรากฏการณ์ดังกล่าวว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจ ทำให้ Dabur ต้องสร้างความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ด้านการพาณิชย์ออนไลน์และการตลาดดิจิทัล เพื่อสนับสนุนตลาดและการค้าสินค้าออนไลน์”
ในปีงบประมาณ 2016-2017 Dabur ลงทุนกว่า 6.46 พันล้านรูปีด้านการโฆษณาและการเผยแพร่สินค้าตามช่องทางต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อดิจิทัล เป็นต้น
Burman กล่าวว่า การเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่จะช่วยขับเคลื่อนแนวโน้มที่เข้มแข็งของการบริโภคในอนาคต และดังนั้น การเพิ่มความสนใจด้านการตลาดดิจิทัล การโฆษณาในระบบออนไลน์ และสื่อโซเชียลมีเดีย จะช่วยให้บริษัทเข้าถึงผู้บริโภคง่ายขึ้น Dabur ซึ่งเป็นที่รู้ว่าเป็นผู้ผลิตสินค้าด้านอายุรเวชกำลังมองหาแนวทางในการดึงดูดผู้บริโภควัยรุ่นให้สนใจสินค้าจากธรรมชาติเช่นเดียวกัน Burman กล่าวว่า ผู้บริโภครุ่นใหม่กำลังให้ความสนใจแนวโน้มสมัยใหม่ ตลอดจนวิถีชีวิตที่พวกเขาต้องการค้นหารากเหง้าและมีความภูมิใจถึงวัฒนธรรมดั้งเดิม ซึ่งบริบทปัจจุบันก็ช่วยเอื้อให้พวกเขา เข้าความเป็นอินเดียได้ง่ายขึ้น
บทวิเคราะห์: รายงานข่าวแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของภาคธุรกิจในการเข้าสู่สังคมและ เศรษฐกิจยุคดิจิทัล เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยของสังคมดังกล่าว ดังนั้น นักลงทุนไทยที่ลงทุนหรือสนใจที่จะลงทุนในอินเดียก็ควรปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้ อีกทั้งภาคธุรกิจของไทยจึงควรปรับตัวและนำแนวทางดังกล่าวมาปรับใช้กับสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคม 4.0 เช่นเดียวกัน
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jul 03, 2017
9. GST จากภาคอุตสาหกรรมจะมีส่วนช่วยเพิ่ม GDP ของอินเดียกว่า 2.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 8-9 ข้างหน้า
Industry to add $280 billion to GDP from GST in 8-9 years
นิวเดลี: มีการคาดการณ์ว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีส่วนร่วมใน GDP ของอินเดียกว่า 2.8 แสนล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 8-9 ปีข้างหน้า จากผลดีของการบังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการ (GST) เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้การทำธุรกิจมีความง่ายดายมากขึ้นและส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลดังกล่าวมาจากการศึกษาโดย ASSOCHAM-Ashvin Parekh Advisory Services บริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านการจัดการระดับโลกซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมุมไบ
Source: The Economic Times
การศึกษาดังกล่าวยังระบุว่าภาษีสินค้าและบริการจะช่วยให้ธุรกิจส่วนใหญ่มีความน่าเชื่อถือมาก ขึ้นภายใต้ระบอบภาษีทางอ้อมรูปแบบใหม่นี้ และจะนำไปสู่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อภาคธุรกิจเหล่านั้น “ภาษีสินค้าและบริการจะนำมาซึ่งความเป็นระบบและเพิ่มความโปร่งใสซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น เราเชื่อว่าภาษีสินค้าและบริการเป็นการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและมีการคาดการณ์ว่าจะเป็น การเบิกทางของการเติบโตของ GDP ในอินเดีย แม้ว่าจะมีความท้าทายในการปรับใช้ภาษีดังกล่าวในช่วง สั้นๆ แต่ภาษีดังกล่าวจะนำมาซึ่งภาษีที่ต่ำลง ประหยัดค่าเคลื่อนย้ายสินค้า และการเปลี่ยนแปลงตลาด จากตัวแสดงแบบดั้งเดิมไปสู่ความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น”
D. S. Rawat เลขาธิการของ ASSOCHAM กล่าวว่า ผลประโยชน์หนึ่งที่จะเห็นได้ชัดจากการ บังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการคือการลดค่าภาษีสินค้าเข้าเมืองระหว่างรัฐท้องถิ่น ซึ่งเป็นภาษีที่รบกวน และไร้ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจอันสมควรต้องถูกยกเลิกไปตั้งนานแล้ว “จากการที่รัฐท้องถิ่นส่วนใหญ่ยกเลิกอุปสรรคทางการค้ามากมายหลังจากการประกาศใช้ภาษี สินค้าและบริการ ความสะดวกในการทำธุรกิจจะเพิ่มขึ้นอย่างมากมายและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น”
การศึกษาดังกล่ายังระบุว่า แม้ภาษีสินค้าและบริการจะมีปัญหาในระยะแรกของการปรับใช้ แต่ ภาษีดังกล่าวจะช่วยให้ภาคเศรษฐกิจขนาดเล็กและกลาง (MSMEs) มีประสิทธิภาพและความมั่นใจมากขึ้น และจะช่วยให้ภาคเศรษฐกิจดังกล่าวได้บูรณาการตัวเองเข้าสู่เศรษฐกิจกระแสหลัก “ภาษีสินค้าและบริการจะเปลี่ยนให้ภาค MSMEs มีศักยภาพในการแข่งขันกับภาคเศรษฐกิจขนาดใหญ่มากขึ้น นอกจากนี้ ภาค MSMEs ของอินเดียจะมีศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ไอย่าง จีน ฟิลิปปินส์ และ บังคลาเทศ”
บทวิเคราะห์: การบังคับใช้ภาษีสินค้าและบริการจะเป็นจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจของอินเดียที่จะ ช่วยดึงดูดการลงทุนของอินเดียจากการกำจัดความซับซ้อนของระบบภาษีและเอื้อให้เกิดความสะดวกใน การทำธุรกิจ ดังนั้นนักลงทุนหรือนักธุรกิจไทยที่ยังลังเลและไม่มั่นใจในการทำธุรกิจกับอินเดียจะต้อง ทบทวนใหม่หลังจากที่ภาษีสินค้าและบริการได้ถูกประกาศใช้ในอินเดียเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ที่ ผ่านมา
Source: THE ECONOMIC TIMES. Jul 05, 2017